วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

มีการจดสิทธิบัตรในอเมริกา โดยนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น ที่ใช้สารสกัดจากหญ้าดอกขาว ช่วยลดความอยากสูบบุหรี่

  1. ปัจจุบันมีการใช้หญ้าดอกขาวเป็นยาแก้อาการติดบุหรี่ เพราะกินแล้วจะทำให้เหม็นบุหรี่และไม่อยากสูบบุหรี่อีก ซึ่งทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งนำหญ้าดอกขาวไปใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ.2547 ได้มีการจดสิทธิบัตรในอเมริกา โดยนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น 

ที่ใช้สารสกัดจากหญ้าดอกขาวใส่ลงไปในก้นกรองของบุหรี่เพื่อช่วยลดความอยากสูบบุหรี่





ขอขอบคุณข้อมูลจาก

สมุนไพรชนิดนี้มีความปลอดภัยสูง หญ้าหมอน้อย

สมุนไพรชนิดนี้มีความปลอดภัยสูง มีสรรพคุณมากมาย กินง่าย มีรสชาติดีเยี่ยม จึงได้มีการพัฒนาเป็นยาในรูปแบบชง แบบชาชง แบบแคปซูล แบบลูกอมเม็ดแข็ง แบบลูกกวาดนุ่ม แบบหมากฝรั่ง แบบแผ่นฟิล์มละลายเร็ว และแบบผลิตภัณฑ์กาแฟผสมหญ้าดอกขาว ที่สามารถหาซื้อได้ง่ายและนำไปใช้ประโยชน์กันได้ง่ายขึ้น ซึ่งในปัจจุบันชาหญ้าดอกขาวถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.2555 ในส่วนยาพัฒนาจากสมุนไพรสำหรับลดความอยากบุหรี่ในรูปแบบชง ใช้กินครั้งละ 2 กรัม โดยชงกับน้ำร้อนประมาณ 120-200 มิลลิเมตร ใช้กินหลังอาหารวันละ 3-4 ครั้ง ส่วนในรูปแบบชาชง ก็คือการนำหญ้าดอกขาวแห้งมาบดเป็นผงละเอียด แล้วบรรจุลงในถุงชาขนาดเล็ก วิธีรับประทานก็ให้นำถุงชามาจุ่มลงในน้ำร้อนแล้วทิ้งไว้สักครู่ แล้วนำมาอมไว้ในปากประมาณ 1-2 นาทีเช่นเดียวกับแบบชงดื่ม ส่วนในรูปของยาอมแบบอัดเม็ด ก็มาจากการนำหญ้าดอกขาวมาเคี่ยวแล้วทำให้เป็นผงแห้งก่อนการอัดเม็ด รูปแบบนี้ทำให้พกพาง่ายและสะดวก ก่อนจะสูบบุหรี่ทุกครั้งก็ให้นำมาอมไว้ในปากจนละลายหมดแล้วจึงค่อยสูบบุหรี่ ก็จะช่วยทำให้เลิกบุหรี่ได้ครับ

หญ้าหมอน้อย



ขอขอบคุณข้อมูลจาก


หญ้าหมอน้อย ทำให้ปากแห้ง คอแห้ง มีประโยชน์ในควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย


หญ้าหมอน้อย

ยาชนิดแล้วจะทำให้ปากแห้ง คอแห้ง ทำให้ไม่อยากอาหาร (ควรระวังในการใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคไตเนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีโพแทสเซียมสูง) ด้วยเหตุนี้หญ้าดอกขาวจึงอาจมีประโยชน์ในควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

การศึกษาด้านความปลอดภัย พบว่าสมุนไพรชนิดนี้มีความปลอดภัยสูง



การศึกษาด้านความปลอดภัย พบว่า

สมุนไพรชนิดนี้มีความปลอดภัยสูง



ซึ่งจากการศึกษาด้านพิษวิทยา

พบว่าสารสกัดในเมทานอลไม่เกิดให้เกิดพิษ


เฉียบพลันในหนูเมื่อให้ทางปาก โดยมีค่า LD50

 สูงกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ผู้ติดบุหรี่มีอัตราการเลิกสูบบุหรี่ร้อยละ 69.35


การศึกษาผู้ติดบุหรี่พบว่าหลังการรักษาด้วยสมุนไพรหญ้าดอกขาวเป็นระยะเวลา 4 เดือน ผู้ติดบุหรี่มีอัตราการเลิกสูบบุหรี่ร้อยละ 69.35 โดยเหตุผลสำคัญของการเลิกสูบบุหรี่ คือ ชาลิ้น กินอาหารไม่อร่อย ไม่รู้สึกอยากบุหรี่ รู้สึกเหม็นกลิ่นบุหรี่ เมื่อสูบแล้วรู้สึกอยากอาเจียน ส่วนผู้ที่ไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้ให้เหตุผลว่า การดื่มชาสมุนไพรชนิดนี้ก็เหมือนกับการดื่มน้ำธรรมดา โดยไม่มีอาการใดๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

หญ้าดอกขาวสามารถช่วยลดการสูบบุหรี่ลงได้

  • ต้น ใบ และรากของหญ้าดอกขาวมีสารสำคัญคือ Sodium nitrate
  •  ทำให้ลิ้นชา ช่วยลดอาการอยากบุหรี่ได้ จากการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของหญ้าดอกขาวกับยาหลอกในการลดการสูบบุหรี่ พบว่า หญ้าดอกขาวสามารถช่วยลดการสูบบุหรี่ลงได้มากกว่ากลุ่มควบคุม และพบว่าสมุนไพรหญ้าดอกขาวในรูปแบบการนำไปเคี่ยว คือการนำหญ้าดอกขาวแห้ง 20 กรัม ผสมกับน้ำ 3 แก้ว แล้วต้มเคี่ยวจนเหลือเพียง 1 แก้ว แล้วนำมาอมไว้ในปากประมาณ 1-2 นาทีแล้วค่อยกลืน จากนั้นจึงค่อยสูบบุหรี่ จะทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนทำให้ไม่อยากสูบยุหรี่ในที่สุด และลดจำนวนของมวนบุหรี่ที่ใช้สูบต่อวันได้อย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ ไม่ว่าจะสูบเบาหรือสูบหนักมาก่อนก็ตาม และจากการวิจัยพบว่าหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือน จะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ถึง 60% และหากออกกำลังกายร่วมด้วยก็จะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ลงได้ 62% และที่สำคัญยังช่วยทำให้คนเลิกบุหรี่ได้สูงถึง 60-70% หากออกกำลังกายร่วมด้วย 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  http://frynn.com

มีรายงานว่าการเติม sodium nitrate ในยาสูบสามารถลดการเกิดมะเร็งเนื่องจากบุหรี่ได้

มีรายงานว่าการเติม sodium nitrate
 ในยาสูบสามารถลดการเกิดมะเร็งเนื่องจากบุหรี่ได้

อย่างไรก็ดี sodium nitrate เป็นอันตรายอย่างยิ่งแก่สุขภาพ หากได้รับปริมาณสูงกว่ากำหนด (10 milligrams per liter (10 mg/l) nitrate-N, or 45 mg/l nitrate-NO3)

แหล่งข้อมูล แหล่ง ' ความรู้ทางเภสัชศาสตร์ ' โดยความร่วมมือของ " เภสัชกร " ทั่วประเทศ  
http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=1868&gid=5

ขอขอบคุณ ข้อมูล จาก  คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

สาร Sodium nitrate ในหญ้าหมอน้อย ทำให้ลิ้นชา ช่วยลดอาการอยากบุหรี่ได้


สาร  Sodium nitrate ในหญ้าหมอน้อย 
 ทำให้ลิ้นชา ช่วยลดอาการอยากบุหรี่ได้


แหล่งที่มาของการอ้างอิงข้อมูล
ศูนยธรรมชาติบําบัดบัลวี [serial online][cite on 2007 Jun 19]. Available from: URL: 

ฐานขอมูลสมุนไพร: หมอนอย
 

วิธีลดน้ำหนัก

วิธีลดน้ำหนัก



ข้อมูลจาก http://www.doctor.or.th/ หมอชาวบ้าน ครับ..
โพสโดย somsak เมื่อ 1 มกราคม 2551 00:00
 นพ.พินิจ กุลละวณิชย์กรรมการบริหารแพทยสภา
วิธีลดน้ำหนัก

หลักการลดน้ำหนักคือต้องลดไขมันที่มีอยู่ในร่างกาย ไม่ใช่ลดกล้ามเนื้อ...อย่าหยุดกินอาหาร แต่ต้องเลือกกินสารอาหารที่ให้พลังงานมีอยู่ ๓ กลุ่มเท่านั้นคือ   ไขมัน แป้ง และโปรตีน ซึ่งให้พลังงาน ๙, ๔ และ ๔  กิโลแคลอรีต่อ ๑ กรัมตามลำดับ จะเห็นได้ว่าไขมันให้พลังงานมากที่สุด จะอ้วนได้ง่ายที่สุดถ้ากินไขมันมากๆ การกินไขมัน (ไขมันสัตว์) มากๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะหลอดเลือด เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดตีบ

ถ้าหยุดกินอาหารจะทำให้ ร่างกายเสียทั้งโปรตีน (กล้ามเนื้อ) ไขมัน และแป้ง แป้งมีอยู่ในปริมาณจำกัดคือ อยู่ในรูปแบบของไกลโคเจน ที่ตับ ๑๐๐ กรัม ที่กล้ามเนื้ออีก ๔๐๐ กรัม หรือรวมแล้วเป็นพลังงานเพียง ๒,๐๐๐ กิโล-แคลอรี (๕๐๐ กรัม x ๔) ร่างกายมีไขมันเป็นพลังงานถึงแสนกิโลแคลอรี

วิธีการลดน้ำหนักจึงต้องเลือกกินอาหาร เน้นหนัก ไปทางพืช ผัก ถั่ว เห็ด เต้าหู้ ปลา พยายามหลีกเลี่ยงมันสัตว์ หนังสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง ของทอด น้ำหวาน ของหวาน กะทิ น้ำตาล เพราะเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานมาก แม้แต่ข้าวหรือขนมปัง ถ้ากินมากเกินไป เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน
วิธีการกินอาหารจึงต้องค่อยๆ กิน ดื่มน้ำมากๆ ก่อนหรือระหว่างกินอาหาร เริ่มต้นด้วยการกินซุปผัก ๑-๒ จาน เคี้ยวช้าๆ พูดคุยบ้าง หลังจากนั้นกินสลัดผักมากๆ อย่าใช้น้ำสลัดที่หวาน กินผักหลายๆ ชนิด เช่น ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ หัวหอม เพราะพืช ผัก เป็นแหล่งอาหารที่ดี มีไขมันประเภทดีและมีพลังงานน้อย กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน
หลังจากนั้นจึงกิน (ถ้ายังไม่อิ่ม) ปลาทะเล (แต่พยายามหลีกเลี่ยงไข่ปลา) พยายามกินปลาที่ต้ม นึ่ง ลวก แทนที่จะทอด ถ้าเบื่อปลา จะเปลี่ยนเป็นเนื้อสัตว์อื่นก็ต้องเลือกไก่ที่เอาหนังออก (หนังมีไขมันมาก)

คนที่ชอบกินข้าวก็อาจกินข้าวได้บ้าง (๑ จาน) กับปลาหรือไก่ ควรค่อยๆ เคี้ยว ค่อยๆ กิน กินไปพูดคุยไป ดื่ม น้ำไป ที่แนะนำให้ทำเช่นนี้เพราะร่างกายมนุษย์ก็แปลก กว่าจะรู้ตัวว่าอิ่มจะต้องใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที ด้วยเหตุนี้เองถ้ารีบกินเร็วไป จะกินได้มากภายใน ๒๐ นาที ก่อนที่จะรู้ตัวว่าอิ่ม แต่ถ้าค่อยๆ กินจะพบว่าภายใน ๒๐ นาทีเรายังไม่ค่อยได้กินอะไรมากปรากฏว่าอิ่มแล้ว

หลังอาหารไม่น่าจะกินของหวาน ถ้าจะกินของหวานให้เลือกกินผลไม้ที่ไม่หวานจัด การกินอาหารแต่ละวันจะต้องแบ่งออกเป็น ๓ มื้อ แทนที่จะกินมื้อเดียว จะช่วยทำให้ร่างกายมีน้ำหนักเบากว่า เพราะการกินอาหารแต่ละมื้อร่างกายใช้พลังงานเผาผลาญ ดูดซึมอาหารมาก  นั่นคือ มื้อเช้าร้อยละ ๒๕ ของพลังงานทั้งหมดที่จะกินต่อวัน มื้อกลางวันร้อยละ ๕๐ และมื้อเย็นร้อยละ ๒๕ (อย่างน้อย ๓-๔ ชั่วโมงก่อนนอน) และพยายามออกกำลังกายภายใน ๒ ชั่วโมงก่อนอาหารมื้อเย็น

การคุมอาหารอย่างเดียวพบว่าลดน้ำหนักได้ยาก แต่ถ้าออกกำลังกายด้วยจะสามารถช่วยทำให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น การออกกำลังกายจะช่วยป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ และยังช่วยทำให้ร่างกายมีกล้ามเนื้อมากขึ้นกว่าเก่าด้วย ฉะนั้นควรคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย  ถ้าออกกำลังกายโดยไม่คุมอาหาร ออกกำลังกาย เท่าไหร่ก็จะไม่สามารถลดน้ำหนักได้ เพราะขนมปัง ๑ แผ่น หรือไข่ไก่ ๑ ฟอง จะให้พลังงาน ๑๐๐ กิโลแคลอรี ซึ่งถ้าร่างกายจะเผาผลาญ ๑๐๐ กิโลแคลอรี เราจะต้องเดินหรือวิ่ง ๑ ไมล์!

ฉะนั้น ถ้ากินเต็มที่อาจจะต้องวิ่งถึง ๒๐ ไมล์ เพื่อที่จะเผาผลาญพลังงานที่กินหรือดื่มเข้าไปจากการกินอาหารเพียงมื้อเดียว!
พยายามลดน้ำหนักตัวเพียงครึ่งถึง ๑ กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และชั่งน้ำหนักทุกวันในเวลาเดียวกัน เช่น ชั่งช่วงเช้าหลังเข้าห้องน้ำ เพื่อที่จะดูว่าน้ำหนักไม่เพิ่มหรือลดเกินไป
If we could give individual the right amount of nourishment and exercise, not too little and not too much, we would have found the safest way to health
Hippocrates 460-377 BC
ถึงแม้ฮิปโพเครตีสบิดาของวงการแพทย์ชาวกรีกได้กล่าวไว้หลายพันปีแล้ว แต่ยังเป็นคำกล่าวที่ยังเป็นความจริงอยู่จนถึงทุกวันนี้ และเป็นการแนะนำที่ดีที่สุด ถ้าทุกๆ คนทำตามนี้ได้จะป้องกัน ลดการเกิดโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ สมอง ความดันเลือดสูง เบาหวาน มะเร็ง กระดูกพรุน อ้วน และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ อาจจะตามมา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าจะกินก็ควรจะกินให้เป็น และถ้าจะเป็นโรคต้องเป็นโรคที่ยังป้องกันไม่ได้

ข้อมูลสื่อ

345-004
นิตยสารหมอชาวบ้าน 345
มกราคม 2551
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อาหารเช้าสำคัญ ช่วยลดน้ำหนัก



 อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน เพราะทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน หลังจากที่ไม่ได้รับประทานอาหารมานานนับ 10 ชั่วโมง รวมถึงทำให้สมองแจ่มใส พร้อมที่จะเริ่มวันใหม่อย่างกระตือรือร้น และรู้ไหมว่า... อาหารเช้ามีผลกับความอ้วนอีกด้วย        องค์การอนามัยโลกรายงานตั้งแต่เมี่อปี พ.ศ.2540 ว่า พบการระบาดของโรคอ้วนมากขึ้นทั่วโลกทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และคาดการณ์ว่า ภายในปี ค.ศ.2020 หรือ พ.ศ.2563 โรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน จะเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต โดยอัตราการเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้จะเพิ่มสูงถึง 3 ใน 4 ของการเสียชีวิตทั้งหมด

        โรคอ้วนหรือภาวะโภชนาการเกิน หมายถึง การที่ร่างกายมีไขมันสะสมอยู่มากเกินไป จนถึงจุดที่จะส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น โรคอ้วนเป็นผลมาจากความไม่สมดุลกันระหว่างพลังงานที่ได้รับโดยการกิน กับพลังงานที่ใช้ในปฏิกิริยาเคมีและกิจกรรมต่างๆ ของร่างกาย ในทางโภชนาการความอ้วนเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับพลังงานมากกว่าพลังงานที่ร่างกายต้องการใช้ หรือใช้ไม่หมด เป็นผลให้เกิดการสะสมพลังงานที่เหลือใช้ในรูปของไขมันอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และเนื่องจากว่าโรคอ้วนกำลังระบาดอย่างหนักในทุกภูมิภาคของโลก งานวิจัยใหม่ๆ จึงมุ่งเน้นหาสาเหตุ วิธีป้องกัน รวมทั้งการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยโรคอ้วนมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีอายุยืนยาวมากขึ้น จนทำให้พบว่า อาหารเช้ากับความอ้วนมีความเกี่ยวข้องกัน

        อาทิ ผลการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ.2011 ที่รายงานว่า สาเหตุหนึ่งของความอ้วนคืออาหารเช้า โดยพบว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารเช้า (breakfast skipper) มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนมากกว่าผู้ที่รับประทานอาหารเช้าสม่ำเสมอ โดยในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี นั้น คนในวัยรุ่นและวัยทำงานมักมีกิจกรรมที่เร่งรีบในช่วงเช้าทำให้พลาดอาหารเช้าเป็นประจำ คนกลุ่มนี้จึงมีน้ำหนักตัว เส้นรอบเอว เส้นรอบสะโพก และดัชนีมวลกายมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่รับประทานมื้อเช้าสม่ำเสมอ

        นอกจากนี้การศึกษาในอาสาสมัครชาวอเมริกันจำนวน 173 คน ก็ยังพบว่า คนที่รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าคนที่พลาดอาหารเช้า นอกจากนั้นคนที่รับประทานอาหารครบทั้ง 3 มื้อต่อวัน จะมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าและมีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อในปริมาณที่เหมาะสม ไม่รับประทานมื้อหนึ่งมื้อใดมากผิดปกติ ทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่า ตรงข้ามกับคนที่พลาดอาหารมื้อเช้า ซึ่งจะรับประทานมื้อกลางวันและมื้อเย็นแบบมื้อใหญ่ ส่งผลให้อาหารที่รับทานโดยรวมต่อวันมีปริมาณมากกว่าปกติ จึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนได้ รวมถึงยังพบว่า การรับประทานอาหารเช้าเป็นประจำจะทำให้มีไขมันสะสมที่หน้าท้องหรือพุงน้อยกว่า ความดันโลหิตต่ำกว่า ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า โดยผู้ที่รับประทานอาหารเช้าทุกวันจะมีระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำกว่า อาหารเช้าจึงช่วยป้องกันโรคหัวใจและเบาหวานได้

         นอกจากอาหารเช้าและจำนวนมื้ออาหารที่มีความสำคัญแล้ว ชนิดของอาหารเช้าก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยผลการศึกษาในประเทศออสเตรเลียรายงานว่า อาหารเช้าที่สะดวก รวดเร็วและเป็นที่นิยม เช่น อาหารเช้าที่ประกอบไปด้วย กาแฟกับขนมปัง มีส่วนทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนเพิ่มขึ้นได้ด้วย เพราะปริมาณของน้ำตาลที่มีในชา กาแฟร่วมกับคาร์โบไฮเดรตที่มีในขนมปังในมื้อเช้า จะทำให้เกิดความอิ่มเป็นระยะเวลาสั้นๆ เป็นผลให้อาจจะต้องรับประทานของว่างในมื้อสาย ซึ่งมักเป็นขนมขบเคี้ยวที่สามารถรับประทานได้ขณะทำงาน และอย่างที่ทราบก็คือขนมขบเคี้ยวเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงแต่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ รวมถึงการรับประทานขนมปังและกาแฟเป็นอาหารเช้ายังทำให้คนกลุ่มนี้รับประทานอาหารมื้อถัดไปในปริมาณที่มากกว่าปกติ มากไปกว่านั้นกาเฟอีนที่พบในชาและกาแฟยังทำให้ร่างกายดื้อต่อการทำงานของอินซูลิน เป็นผลให้เกิดการสะสมไขมันที่พุงได้ด้วย

         การศึกษายังพบว่าชนิดของอาหารเช้าที่ผู้ชายรับประทานสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึงความใส่ใจต่อสุขภาพได้ โดยพบว่าผู้ชายที่เลือกอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางอาหาร มักจะออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่รับประทานระหว่างมื้อและไม่รับประทานอาหารที่ไม่มีคุณค่าในมื้ออื่นๆ เป็นต้น        The American Academy of Pediatrics จึงแนะนำให้เด็กและวัยรุ่นเลือกรับประทานอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ประกอบด้วยอาหารครบทั้ง 5 หมู่ อันได้แก่ ข้าว/แป้ง เนื้อสัตว์ ไขมัน ผักและผลไม้ เพราะการได้รับสารอาหารครบถ้วนในทุกมื้อนอกจากจะทำให้มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว ยังทำให้เด็กมีสมาธิในการเรียน มีความจำดี เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็ว และสามารถทำข้อสอบได้ดีกว่าอีกด้วย สำหรับคนวัยทำงานการรับประทาอาหารเช้า จะทำให้มีสมาธิ คิดเร็ว และทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

     อาหารเช้าที่ดีควรประกอบด้วย 
      - ข้าว/แป้ง ซึ่งให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โดยในมื้อเช้าควรเลือกรับประทานคาร์บไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เพราะจะให้พลังงานอย่างช้าๆ และให้พลังงานได้นานกว่า ทำให้ไม่หิวบ่อย ร่างกายจะได้รับพลังงานจนถึงมื้อต่อไปได้

      - เนื้อสัตว์ ให้สารอาหารโปรตีน เช่น นมสด เนื้อสัตว์ ไข่และถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น โดยอาหารประเภทโปรตีนเมื่อผ่านการย่อยจะให้กรดอะมิโน ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย นอกจากนี้กรดอะมิโนยังช่วยในการสร้างสารสื่อประสาท ทำให้การทำงานหรือการเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

      - น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ อาหารหมู่นี้เป็นแหล่งสำคัญที่ให้ไขมัน ซึ่งจะให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย ช่วยการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันและให้กรดไขมัน รวมถึงให้กรดไขมันที่จำเป็นแก่ร่างกายซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง

      - ผักใบเขียวและผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญที่ให้วิตามินและเกลือแร่ อาทิ วิตามินบีและโคลีน ที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง

         เมื่ออาหารเช้ามีความสำคัญมากขนาดนี้ วันนี้คุณรับประทานอาหารเช้าหรือยัง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://women.thaiza.com/




ที่มา ... HealthToday

ลดน้ำหนักไม่ให้เสียสุขภาพ



 อยากจะผอมเร็วๆ ต้องทำอย่างไรบ้าง เป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้ หลายคนเริ่มที่การอดอาหารและมื้อที่นิยมอดก็คือ มื้อเย็น !!!! อดอาหารแล้วน้ำหนักจะลดลงได้จริง?? อดมื้อเย็นจะทำให้น้ำหนักลดลงเร็วกว่าอดมื้ออื่น ???แล้วต้องอดไปอีกกี่วันน้ำหนักถึงจะลดลง??? 
       ก่อนที่จะตอบคำถามทั้งหมด ต้องรู้ก่อนว่าคุณคือคนที่ควรจะลดน้ำหนักใช่หรือไม่ เพราะบางคนโดยเฉพาะผู้หญิงมักจะคิดว่าตัวเองอ้วน ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น พึงระลึกไว้นะคะว่า “คนที่ผอมเกินไปก็คือคนป่วย” เช่นกัน ปัจจุบันบางประเทศถึงกับต้องออกกฎห้ามนางแบบที่ผอมเกินไปขึ้นเวทีเดินแบบ เพื่อป้องกันวัยรุ่นเลียนแบบพฤติกรรมที่ทำให้ผอมมากเกินไป และป้องกันการเกิดค่านิยมผิดๆ เกี่ยวกับรูปร่าง 

      แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณนั้นจัดเป็นคนอ้วนหรือไม่ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ ด้วยการหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) ดังนี้ค่ะ

      ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) สองครั้ง      ถ้าดัชนีมวลกายมากกว่า 23 ถือว่าคุณคือคนที่มีน้ำหนักเกินและควรลดน้ำหนักได้แล้ว นอกจากนั้นถ้าเส้นรอบเอวของคุณมากกว่า 90 เซนติเมตร (ผู้ชาย) และมากกว่า 80 เซนติเมตร (ผู้หญิง) ก็ควรลดน้ำหนักด่วนเลยค่ะ เพราะคุณมีลักษณะที่เรียกว่า “อ้วนลงพุง” ซึ่งจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (metabolic syndrome) เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง (บางชนิด) โรคหยุดหายใจขณะหลับ และอื่นๆ อีกมากมาย

      ปัจจุบันมีวิธีที่จะทำให้น้ำหนักลดสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเย็บกระเพาะอาหารให้เล็กลง การดูดไขมัน หรือการใช้ยา เป็นต้น แต่วิธีลดน้ำหนักที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง ไม่มีอาการข้างเคียง ไม่เจ็บตัวและราคาถูกที่สุด คือ การควบคุมอาหารร่วมกับการออกกำลังกายค่ะ

    การควบคุมอาหารที่ได้ผล
      การควบคุมอาหาร (ซึ่งต่างจากการอดอาหาร) เริ่มจากการที่ต้องรู้ก่อนว่าในแต่ละวันร่างกายของคุณต้องการพลังงานเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตเป็นปริมาณเท่าไร ซึ่งวิธีคิดคำนวนง่ายๆ ก็คือ นำน้ำหนักคูณด้วย 30 (ถ้าคุณเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ใช้น้ำหนักตัวคูณด้วย 35) ค่าที่ได้คือ ปริมาณพลังงานที่ร่างกายต้องการใช้ในแต่ละวัน ซึ่งมีหน่วยเป็นกิโลแคลอรี ร่างกายใช้พลังงานนี้เพื่อให้อวัยวะภายในต่างๆ ทำงาน และใช้ไปในกิจกรรมประจำวัน เช่น การยืน เดิน หรือวิ่ง เป็นต้น 

      หลักการลดน้ำหนักง่ายๆ ก็ทำได้โดยรับประทานอาหารให้ได้พลังงานน้อยกว่าที่ร่างกายต้องใช้ หรือที่เรียกว่าการติดลบพลังงาน (Negative Energy Balance) โดยหากรับประทานอาหารที่ให้พลังงานน้อยกว่าความต้องการใช้ของร่างกายครบ 7,000 กิโลแคลอรี น้ำหนักตัวก็จะลดลง 1 กิโลกรัม หลักการลดน้ำหนักก็เป็นแบบนี้

     อดอาหารระวังโยโย่เอฟเฟคท์
      แม้ว่าหลักการลดน้ำหนักจะวิธีการดังกล่าวไปแล้ว แต่กลับมีหลายคนเข้าใจผิดหรือเลือกใช้ทางลัดด้วยการอดอาหาร เพื่อจะได้ติดลบพลังงานเร็วขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างปฏิบัติยากและไม่ได้ผลค่ะ เพราะร่างกายของเรามีระบบการควบคุมการใช้พลังงานที่ฉลาดมาก (มากกว่าที่เราคิด) ดังนั้นการติดลบพลังงานโดยการอดอาหารไปเรื่อยๆ แบบนี้จึงส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงแรกเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นร่างกายจะลดระดับการใช้พลังงานลงเหมือนกับที่คอมพิวเตอร์เข้าสู่ hibernate mode หรือ safe mode เพื่อลดการใช้พลังงานในเวลาที่ต้องประหยัดหรือเมื่อมีพลังงานจำกัด ทำให้ส่วนต่างของพลังงานที่ติดลบหรือขาดทุนอยู่ลดลงตามไปด้วย จนกระทั่งระดับการใช้พลังงานเท่ากับพลังงานที่ได้รับจากอาหาร น้ำหนักตัวก็จะคงที่ 

      ที่สำคัญคนส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถอดอาหารได้นาน ดังนั้นเมื่อไม่สามารถทนอดได้อีกต่อไป ก็จะหันกลับมารับประทานเท่าเดิม ทำให้ร่างกายนำพลังงานส่วนที่เหลือไปเก็บไว้ในรูปของไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้กลับมาอ้วนเหมือนเดิม เราเรียกระบบนี้ว่าโยโย่เอฟเฟคท์ (yo-yo effect) เป็นผลให้คนทั่วไปที่ลดน้ำหนักผิดวิธีไม่สามารถควบคุมน้ำหนักได้ บางคนนั้นมีน้ำหนักมากกว่าช่วงที่เริ่มอดเสียอีกก็มี      ตัวอย่างเช่น คุณเป็นคนที่ต้องการใช้พลังงาน 1,500 กิโลแคลอรีต่อวัน แต่ตั้งใจอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก จึงเริ่มอดอาหาร โดยรับประทานแค่ 1.000 กิโลแคลอรีต่อวัน ทำให้ได้พลังงานน้อยกว่าที่ต้องใช้ 500 กิโลแคลอรีต่อวัน ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ พลังงานจะติดลบ 3,500 กิโลแคลอรี (500 กิโลแคลอรี x 7 วัน) น้ำหนักตัวจะลดลงประมาณครึ่งกิโลกรัม หากสามารถอดอาหารแบบนี้ต่อไปได้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ น้ำหนักจะลดลงหนึ่งกิโลกรัม (500 กิโลแคลอรี x 14 วัน เท่ากับ 7,000 กิโลแคลอรี) และหนึ่งเดือนน้ำหนักก็จะลดลงสองกิโลกรัม ฟังแล้วก็ชื่นใจ คนอดอาหารก็จะเริ่มมีกำลังใจในการอดต่อไป แต่น้ำหนักจะลดลงได้ไม่มากหรอกค่ะ เพราะร่างกายจะปรับลดความต้องการพลังงานลง จนเท่ากับพลังงานที่รับประทาน น้ำหนักตัวจะเริ่มคงที่ แต่หากกลับมารับประทาน 1,500 กิโลแคลอรี ส่วนเกิน 500 กิโลแคลอรี ก็จะถูกเก็บสะสมไว้ในร่างกายทันที น้ำหนักตัวก็จะเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้นเหมือนเดิม การอดอาหารแบบนี้จึงไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้อง วิธีเดียวที่จะสามารถคงระดับการใช้พลังงานของร่างกายได้ก็คือการออกกำลังกาย 

    งดคาร์โบไฮเดรตกระทบสมอง
       นอกจากนั้นการลดน้ำหนักโดยวิธีการงดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการงดคาร์โปไฮเดรต หรือการรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล ก็ยังทำให้เกิดผลเสียด้วย โดยในกรณีของคาร์โบไฮเดรตนั้น ในแต่ละวัน ร่างกายจะต้องได้รับคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้สมองใช้เป็นแหล่งพลังงาน (จำไว้ว่าสมองต้องการใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเท่านั้น) การไม่ได้รับคาร์โบไฮเดรตจึงอาจลดประสิทธิภาพการทำงานของสมอง อีกทั้งเป็นการบีบบังคับให้สมองใช้พลังงานจากสารอาหารให้พลังงานอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ทำร้ายเซลล์สมองได้ คนที่เลือกลดน้ำหนักโดยการงดคาร์โบไฮเดรตจึงควรระวังอย่างมาก หากต้องการใช้วิธีนี้ ควรอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด

    งดโปรตีนขาดกรดอะมิโนจำเป็น
       ขณะที่การขาดหรือไม่ได้รับโปรตีนอาจส่งผลให้ร่างกายของเราได้รับกรดอะมิโนจำเป็นไม่ครบถ้วน ซึ่งจะส่งผลไปยับยั้งการเจริญเติบโตในเด็ก เพราะกล้ามเนื้อและสมองที่ต้องการการพัฒนาในเด็กนั้น ต้องใช้สารอาหารประเภทโปรตีนที่มีกรดอะมิโนจำเป็นอย่างครบถ้วน เด็กจึงจะมีพัฒนาการสมบูรณ์ตามวัยได้ ในผู้ใหญ่การงดหรือจำกัดปริมาณโปรตีนหรือการได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพไม่ดี จะทำให้ผู้ใหญ่ได้รับกรดอะมิโนจำเป็นไม่ครบ ส่งผลกระทบต่อกระบวนการสร้างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเสริมหรือซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การสังเคราะห์เอนไซม์ สารสื่อประสาทต่างๆ คอลลาเจน และสารอื่นๆ อีกมากมายที่จำเป็นต่อการทำงานตามปกติของร่างกาย การจำกัดโปรตีนในมื้ออาหารจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ 

    เคล็ดลับการลดน้ำหนักที่ถูกวิธี
      คงต้องขอย้ำอีกครั้งว่า การลดน้ำหนักที่ถูกวิธีก็คือการรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อต่อวัน แต่ควบคุมปริมาณพลังงานในอาหาร โดยต้องเลือกอาหารที่มีสารอาหารที่จำเป็น อันได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย แบบนี้จึงจะสามารถปฏิบัติได้นานและเห็นผลได้จริง อาหารลดน้ำหนักต้องสามารถปรับและยืดหยุ่นให้เหมาะกับอุปนิสัยการรับประทานตลอดจนลักษณะการดำรงชีวิตของเราได้ ต้องไม่ทำให้เกิดอาการหิวหรืออ่อนเพลีย ที่สำคัญคือ อาหารสำหรับการลดน้ำหนักที่ดีต้องให้พลังงานอย่างน้อย 1,200 กิโลแคลอรีต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 1,500 กิโลแคลอรีต่อวันสำหรับผู้ชาย การควบคุมอาหารที่ให้พลังงานน้อยกว่านี้ ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์และนักกำหนดอาหารอย่างใกล้ชิด 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://women.thaiza.com/






ที่มา ...HealthToday

การอดอาหาร ไม่ใช่การลดน้ำหนักที่ถูกต้อง




หลักการลดน้ำหนัก คือ ต้องลดไขมันที่มีอยู่ในร่างกาย ไม่ใช่ลดกล้ามเนื้อ... อย่าหยุดกินอาหาร แต่ต้องเลือกกินสารอาหารที่ให้พลังงานซึ่งมีอยู่ ๓ กลุ่มเท่านั้นคือ ไขมัน แป้ง และโปรตีน      ถ้าหยุดกินอาหารจะทำให้ ร่างกายเสียทั้งโปรตีน (กล้ามเนื้อ) ไขมัน และแป้ง แป้งมีอยู่ในปริมาณจำกัดคือ อยู่ในรูปแบบของไกลโคเจน ที่ตับ ๑๐๐ กรัม ที่กล้ามเนื้ออีก ๔๐๐ กรัม หรือรวมแล้วเป็นพลังงานเพียง ๒,๐๐๐ กิโล-แคลอรี (๕๐๐ กรัม x ๔) ร่างกายมีไขมันเป็นพลังงานถึงแสนกิโลแคลอรี

      วิธีการลดน้ำหนักจึงต้องเลือกกินอาหาร เน้นหนัก ไปทางพืช ผัก ถั่ว เห็ด เต้าหู้ ปลา พยายามหลีกเลี่ยงมันสัตว์ หนังสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง ของทอด น้ำหวาน ของหวาน กะทิ น้ำตาล เพราะเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานมาก แม้แต่ข้าวหรือขนมปัง ถ้ากินมากเกินไป เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน

     วิธีการกินอาหารจึงต้องค่อยๆ กิน ดื่มน้ำมากๆ ก่อนหรือระหว่างกินอาหาร เริ่มต้นด้วยการกินซุปผัก ๑-๒ จาน เคี้ยวช้าๆ พูดคุยบ้าง หลังจากนั้นกินสลัดผักมากๆ อย่าใช้น้ำสลัดที่หวาน กินผักหลายๆ ชนิด เช่น ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ หัวหอม เพราะพืช ผัก เป็นแหล่งอาหารที่ดี มีไขมันประเภทดีและมีพลังงานน้อย กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

      หลังจากนั้นจึงกิน (ถ้ายังไม่อิ่ม) ปลาทะเล (แต่พยายามหลีกเลี่ยงไข่ปลา) พยายามกินปลาที่ต้ม นึ่ง ลวก แทนที่จะทอด ถ้าเบื่อปลา จะเปลี่ยนเป็นเนื้อสัตว์อื่นก็ต้องเลือกไก่ที่เอาหนังออก (หนังมีไขมันมาก)

      คนที่ชอบกินข้าวก็อาจกินข้าวได้บ้าง (๑ จาน) กับปลาหรือไก่ ควรค่อยๆ เคี้ยว ค่อยๆ กิน กินไปพูดคุยไป ดื่ม น้ำไป ที่แนะนำให้ทำเช่นนี้เพราะร่างกายมนุษย์ก็แปลก กว่าจะรู้ตัวว่าอิ่มจะต้องใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที ด้วยเหตุนี้เองถ้ารีบกินเร็วไป จะกินได้มากภายใน ๒๐ นาที ก่อนที่จะรู้ตัวว่าอิ่ม แต่ถ้าค่อยๆ กินจะพบว่าภายใน ๒๐ นาทีเรายังไม่ค่อยได้กินอะไรมากปรากฏว่าอิ่มแล้ว

      หลังอาหารไม่น่าจะกินของหวาน ถ้าจะกินของหวานให้เลือกกินผลไม้ที่ไม่หวานจัด การกินอาหารแต่ละวันจะต้องแบ่งออกเป็น ๓ มื้อ แทนที่จะกินมื้อเดียว จะช่วยทำให้ร่างกายมีน้ำหนักเบากว่า เพราะการกินอาหารแต่ละมื้อร่างกายใช้พลังงานเผาผลาญ ดูดซึมอาหารมาก นั่นคือ มื้อเช้าร้อยละ ๒๕ ของพลังงานทั้งหมดที่จะกินต่อวัน มื้อกลางวันร้อยละ ๕๐ และมื้อเย็นร้อยละ ๒๕ (อย่างน้อย ๓-๔ ชั่วโมงก่อนนอน) และพยายามออกกำลังกายภายใน ๒ ชั่วโมงก่อนอาหารมื้อเย็น


      การคุมอาหารอย่างเดียวพบว่าลดน้ำหนักได้ยาก แต่ถ้าออกกำลังกายด้วยจะสามารถช่วยทำให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น การออกกำลังกายจะช่วยป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ และยังช่วยทำให้ร่างกายมีกล้ามเนื้อมากขึ้นกว่าเก่าด้วย ฉะนั้นควรคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ถ้าออกกำลังกายโดยไม่คุมอาหาร ออกกำลังกาย เท่าไหร่ก็จะไม่สามารถลดน้ำหนักได้ เพราะขนมปัง ๑ แผ่น หรือไข่ไก่ ๑ ฟอง จะให้พลังงาน ๑๐๐ กิโลแคลอรี ซึ่งถ้าร่างกายจะเผาผลาญ ๑๐๐ กิโลแคลอรี เราจะต้องเดินหรือวิ่ง ๑ ไมล์!

      ฉะนั้น ถ้ากินเต็มที่อาจจะต้องวิ่งถึง ๒๐ ไมล์ เพื่อที่จะเผาผลาญพลังงานที่กินหรือดื่มเข้าไปจากการกินอาหารเพียงมื้อเดียว! พยายามลดน้ำหนักตัวเพียงครึ่งถึง ๑ กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และชั่งน้ำหนักทุกวันในเวลาเดียวกัน เช่น ชั่งช่วงเช้าหลังเข้าห้องน้ำ เพื่อที่จะดูว่าน้ำหนักไม่เพิ่มหรือลดเกินไป
      ถึงแม้ฮิปโพเครตีสบิดาของวงการแพทย์ชาวกรีกได้กล่าวไว้หลายพันปีแล้ว แต่ยังเป็นคำกล่าวที่ยังเป็นความจริงอยู่จนถึงทุกวันนี้ และเป็นการแนะนำที่ดีที่สุด ถ้าทุกๆ คนทำตามนี้ได้จะป้องกัน ลดการเกิดโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ สมอง ความดันเลือดสูง เบาหวาน มะเร็ง กระดูกพรุน อ้วน และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ อาจจะตามมา

      นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าจะกินก็ควรจะกินให้เป็น และถ้าจะเป็นโรคต้องเป็นโรคที่ยังป้องกันไม่ได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://women.thaiza.com/



ที่มา...หมอชาวบ้าน

10 เครื่องดื่มที่ควรระวัง สำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก


10 เครื่องดื่มที่ควรระวัง สำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก



10 เครื่องดื่มที่ควรระวัง สำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก

          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังลดน้ำหนัก และได้ทำการควบคุมอาหารแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พึงจะต้องระวังก็คือเครื่องดื่ม เพราะเครื่องดื่มบางชนิดกให้น้ำตาลสูงและไม่ดีต่อสุขภาพด้วย วันนี้เราจะมาดู 10 เครื่องดื่มที่ควรระวังสำหรับการควบคุมน้ำหนัก 

     1. น้ำผลไม้

          เพราะน้ำผลไม้ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยน้ำตาล เว้นเสียแต่จะเป็นน้ำผลไม้ที่แปะฉลากไว้ว่า เป็นน้ำผลไม้ 100%

     2. กาแฟเย็นโปะวิปครีม

          กาแฟเย็นรสหวานมัน โปะวิปครีมรสชาติละมุนลงไป ช่างเอร็ดอร่อยอะไรเสียอย่างนี้ แต่รู้ไหมว่า กาแฟโปะวิปครีมแก้วหนึ่งสามารถให้พลังงานได้มากถึง 800 แคลอรี่ แถมน้ำตาลอีกตั้ง 170 กรัม หากเป็นไปได้ลองหันมาสั่งกาแฟใส่นมไขมันต่ำ ลดไซรัปลงครึ่งหนึ่ง และไม่โปะวิปครีม น่าจะดีกว่า

     3. น้ำดื่มปรุงกลิ่นและรส

          น้ำดื่มปรุงกลิ่นและรสมักมีการผสมวิตามิน หรือสารบางอย่างเพิ่มเข้ามา เช่น เพิ่มวิตามินซี เพิ่มแอลคานิทีน เป็นต้น ทำให้รู้สึกว่าเป็นน้ำดื่มที่ดีต่อสุขภาพ แต่ความจริงแล้วพวกมันส่วนใหญ่ก็ผสมน้ำตาลเทียมมาด้วยไม่น้อย 

     4. โซดา

          การบริโภคโซดาเกินพอดีมีความเกี่ยวข้องบางประการกับความอ้วน แต่ถ้านาน ๆ ครั้งจะกินสักครั้งก็ถือว่าโอเค

     5. มิกเซอร์

          บรรดามิกเซอร์สารพัดชนิดที่บาร์เหล้าล้วนมีน้ำตาลผสมอยู่ รวมทั้งมีการแต่งกลิ่นและใส่สีสังเคราะห์ด้วย 


      6. สมูทตี้ผลไม้พร้อมดื่ม

          สมูทตี้ผลไม้พร้อมดื่ม ฟังชื่อแล้วดูช่างดีต่อสุขภาพ แต่รู้ไหมว่าบรรดาสมูทตี้พร้อมดื่มทั้งหลายใส่น้ำตาลผสมมาเป็นว่าเล่น หากต้องการสมูทตี้ที่ดีต่อสุขภาพจริง ๆ สักแก้ว ปั่นกินเองที่บ้านจะดีที่สุด เพราะคุณสามารถควบคุมปริมาณน้ำตาล หรือจะอาศัยความหวานจากผลไม้ล้วน ๆ เลยก็ได้ ทั้งยังปราศจากสารกันบูดด้วย

     7. เหล้า

          เหล้าแค่ 2 แก้ว ก็เพิ่มความเสี่ยงให้คุณเข้าข่ายน้ำหนักตัวเกินได้แล้ว แถมยังส่งผลเสียต่อสุขภาพ อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นจะดื่มสังสรรค์แต่ละทีก็ควบคุมปริมาณกันด้วยนะจ๊ะ

     8. น้ำมะนาวพร้อมดื่ม

          น้ำมะนาวพร้อมดื่มนั้นมีทั้งสารแต่งสีและสารกันบูด แถมยังเสี่ยงกับปริมาณน้ำตาลที่มากเกินพอดี ทางที่ดีคั้นน้ำมะนาวดื่มเองจะปลอดภัยที่สุด

     9. น้ำดื่มเสริมเกลือแร่

          รู้ไหมว่าน้ำดื่มเสริมเกลือแร่สำหรับนักกีฬาและผู้เสียเหงื่อนั้น มีน้ำตาลและสารกันบูดผสมอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ

     10. เครื่องดื่มเสริมพลังงาน

          เครื่องดื่มเสริมพลังงานที่กินแล้วสดชื่นทันใจ ก็มีน้ำตาลผสมอยู่ไม่น้อย แถมยังมีคาเฟอีนอีกด้วย (เป็นเหตุผลว่าทำไมที่ฉลากจึงมีคำเตือนว่า ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด นั่นเอง)

          น่าตกใจจริง ๆ ที่เครื่องดื่มบางชนิดที่ดูแล้วน่าจะดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำผลไม้ หรือสมูทตี้ กลับกลายเป็นเครื่องดื่มที่ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ รู้อย่างนี้แล้วคงต้องมีสติในการเลือกเครื่องดื่มกันให้มากขึ้นแล้วล่ะ การหันไปดื่มน้ำสุดคลาสสิคอย่าง "น้ำเปล่า" และรับวิตามินจากผักผลไม้สด ๆ ที่หวานน้อย น่าจะดีกับสุขภาพของคุณมากที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://women.thaiza.com/